วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ประวัติและความเป็นมาของเคมี

 

ประวัติและความเป็นมาของเคมี

เคมี (อังกฤษ: chemistry) เป็นวิทยาศาสตร์สาขาหนึ่งที่ศึกษาในเรื่องของสสาร โดยไม่เพียงแต่ศึกษาเฉพาะในเรื่องของปฏิกิริยาเคมี แต่ยังรวมถึงองค์ประกอบ โครงสร้างและคุณสมบัติของสสารอีกด้วย การศึกษาทางด้านเคมีเน้นไปที่อะตอมและปฏิสัมพันธ์ระหว่างอะตอมกับอะตอม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณสมบัติของพันธะเคมี

บางครั้ง เคมีถูกเรียกว่าเป็นวิทยาศาสตร์ศูนย์กลาง เพราะเป็นวิชาช่วยที่เชื่อมโยงฟิสิกส์เข้ากับวิทยาศาสตร์ธรรมชาติสาขาอื่น เช่น ธรณีวิทยาหรือชีววิทยาถึงแม้ว่าเคมีจะถือเป็นสาขาหนึ่งของวิทยาศาสตร์กายภาพแต่ก็มีความแตกต่างจากวิชาฟิสิกส์ค่อนข้างมาก

มีการถกเถียงกันอย่างมากมายถึงต้นกำเนิดของเคมี สันนิษฐานว่าเคมีน่าจะมีต้นกำเนิดมาจากการเล่นแร่แปรธาตุซึ่งเป็นที่นิยมกันมาอย่างยาวนานหลายสหัสวรรษในหลายส่วนของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตะวันออกกลาง

                                                          

ทฤษฎี

โดยทั่วไปเคมีมักเริ่มต้นด้วยการศึกษาอนุภาคพื้นฐานอะตอมโมเลกุล แล้วนั้นมักจะเกี่ยวข้องกับสสาร ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารด้วยกันเองหรือปฏิสัมพันธ์ของสสารกับสิ่งที่ไม่ใช่สสารอย่างเช่นพลังงาน แต่หัวใจสำคัญของเคมีโดยทั่วไปคือการปฏิสัมพันธ์ระหว่างสารเคมีด้วยกันในปฏิกิริยาเคมี โดยสารเคมีนั้นมีการเปลี่ยนรูปไปเป็นสารเคมีอีกชนิดหนึ่ง นี่อาจจะรวมไปถึงการฉายรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าสู่สารเคมีหรือสารผสม (ในเคมีแสง) ในปฏิกิริยาเคมีที่ต้องการแรงกระตุ้นจากแสง อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยาเคมีนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเคมีซึ่งศึกษาสสารในด้านอื่นๆ อีกมากมาย ตัวอย่างเช่น นักสเปกโตรสโคปีนั้นจะศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างแสงกับสสารโดยที่ไม่มีปฏิกิริยาเกิดขึ้น

ประวัติศาสตร์

วิวัฒนาการของวิชาเคมีแบ่งออกเป็นยุคต่างๆ ดังนี้

ยุคก่อนประวัติศาสตร์ – ค.ศ. 500

§  ชาวอียิปต์เป็นชนชาติแรกที่รู้จักใช้วิธีการทางเคมี และคำว่า Chemeia มีปรากฏในภาษาอียิปต์

§  เดโมคริตัส (นักปราชญ์ชาวกรีก) แสดงความคิดเห็นในเรื่องโครงสร้างของสารโดยคิดหาเหตุผลเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ทำการทดลองประกอบให้เห็นจริง

§  อริสโตเติล รวบรวมทฤษฎีเกี่ยวกับสสาร โดยสรุปว่า สสารต่างๆ ประกอบขึ้นด้วยธาตุ 4 อย่าง คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ในสัดส่วนที่ต่างกันสำหรับสสารที่ต่างชนิดกัน

ยุคการเล่นแร่แปรธาตุ ค.ศ. 500 – ค.ศ. 1500

ดูบทความหลักที่ การเล่นแร่แปรธาตุ

§  นักเคมีสนใจในเรื่องการเล่นแร่แปรธาตุให้เป็นทองคำ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ประมาณ ค.ศ. 1100

§  ความรู้ทางเคมีได้แพร่เข้าสู่ยุโรป ในปลายยุคนี้นักเคมีล้มเลิกความสนใจการเล่นแร่แปรธาตุ

§  เริ่มสนใจค้นคว้าหายาอายุวัฒนะที่ใช้รักษาโรค

ยุคการเสาะแสวงหายาอายุวัฒนะ (ค.ศ. 1500 – 1600)

§  เป็นยุค Latrochemistry

§  นักเคมีพยายามค้นคว้าหายาอายุวัฒนะและบรรดายารักษาโรคต่างๆ

ยุคปัจจุบัน (ค.ศ. 1627 – 1691)

§  เริ่มต้นจาก Robert Boyle “ศึกษาเคมีเพื่อเคมี”

§  Robert Boyle “ศึกษาเคมีเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของเคมีโดยเฉพาะ” และ “ใช้วิธีการทดลองประกอบการศึกษาเพื่อทดสอบความจริงและทฤษฎีต่างๆ”

§  เลิกล้มทฤษฎีของอริสโตเติลที่เกี่ยวกับดิน น้ำ ลม ไฟ

§  ลาวัวซิเยร์ (ค.ศ. 1743 – 1794) เป็นผู้ริเริ่มเคมียุคปัจจุบัน

§  สตาฮ์ล (Stahl : ค.ศ. 1660 – 1734) ตั้งทฤษฎีฟลอจิสตัน (Phlogiston Theory)

§  ลาวัวซิเยร์ ตั้งทฤษฎีแห่งการเผาไหม้ขึ้น ยังผลให้ทฤษฎีฟลอจิสตันต้องเลิกล้มไป

§  John Dalton (ค.ศ. 1766 – 1844) ตั้งทฤษฎีอะตอม ซึ่งเป็นรากฐานของเคมีสมัยใหม่ แต่ทฤษฎีอะตอมก็ต้องล้มเลิกไป เนื่องจากอะตอมที่แสดงพฤติกรรมได้ทั้งอนุภาคและคลื่น

สาขาวิชาย่อยของวิชาเคมี

วิชาเคมีมักแบ่งออกเป็นสาขาย่อยหลัก ๆ ได้หลายสาขา นอกจากนี้ยังมีสาขาทางเคมีที่มีลักษณะที่ข้ามขอบเขตการแบ่งสาขา และบางสาขาก็เป็นสาขาที่เฉพาะทางมาก

เคมีวิเคราะห์ 

เคมีวิเคราะห์ (Analytical Chemistry) คือการวิเคราะห์ตัวอย่างสาร เพื่อศึกษาส่วนประกอบทางเคมีและโครงสร้าง.

ชีวเคมี 

ชีวเคมี (Biochemistry) คือการศึกษาสารเคมี ปฏิกิริยาเคมี และ ปฏิสัมพันธ์ทางเคมีที่เกิดขึ้นในสิ่งมีชีวิต

เคมีอนินทรีย์ 

เคมีอนินทรีย์ (Inorganic Chemistry) คือการศึกษาคุณสมบัติและปฏิกิริยาของสารประกอบอนินทรีย์ อย่างไรก็ตามการแบ่งแยกระหว่างสาขาทางอินทรีย์และสาขาอนินทรีย์นั้น ไม่ชัดเจน และยังมีการเหลื่อมของขอบเขตการศึกษาอยู่มาก เช่นในสาขา organometallic chemistry

เคมีอินทรีย์ 

เคมีอินทรีย์(Organic Chemistry) คือการศึกษาโครงสร้าง, สมบัติ, ส่วนประกอบ และปฏิกิริยาเคมี ของสารประกอบอินทรีย์

เคมีฟิสิกส์ 

เคมีเชิงฟิสิกส์(Physical Chemistry) คือการศึกษารากฐานทางกายภาพของระบบและกระบวนการทางเคมี ตัวอย่างที่เห็นก็เช่น นักเคมีเชิงฟิสิกส์มักสนใจการอธิบายการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในเชิงของพลังงาน สาขาที่สำคัญในกลุ่มนี้รวมถึง

1.     เคมีอุณหพลศาสตร์ (chemical thermodynamics)

2.     เคมีไคเนติกส์ (chemical kinetics)

3.     เคมีควอนตัม (quantum chemistry)

4.     กลศาสตร์สถิติ (statistical mechanics)

5.     สเปกโตรสโคปี (spectroscopy)

เคมีถวิล 

คือการศึกษากระบอกไม้ไผ่ที่เป็นแหล่งกำเนิดถวิล


เฉลยแบบฝึกหัดบทที่ 3

1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8 . 9 . 10 .

11. 12. 13. 14. 15. 16. 17. 18. 19. 20.

21. 22. 23. 24. 25. 26. 27. 28. 29. 30.

31. 32. 33. 34. 35. 36. 37. 38. 39. 40.

41. 42. 43. 44. 45. 46. 47. 48. 49. 50.  

ชุดที่1

1.จำนวนพันธะโคเวเลนต์ในโมเลกุล CH4 , SiCl4 , NaCl , NH3 เป็นกี่พันธะมีค่าเรียงตามลำดับ  คือข้อใด

   ก. 4 , 4 , 0 , 3     ข. 6 , 3 , 1 , 0       ค. 4 , 3 , 0 , 3      ง. 5 , 4 , 1 , 0

 

2. พันธะเดี่ยว หมายถึงอะไร

    ก. พันธะที่เกิดจากการใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกัน 1 คู่

    ข. พันธะที่เกิดจากการใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกัน 2 คู่

    ค. พันธะที่เกิดจากการใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกัน 3 คู่

    ง. พันธะที่เกิดจากการใช้์อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวร่วมกัน 1 คู่

 

3. ธาตุในข้อใด เกิดพันธะโคเวเลนต์กับธาตุคลอรีนได้ดีที่สุด

 

    ก. Na                ข. Ra             ค. C                 ง. Cs

 

4. สมบัติทางกายภาพในข้อใด ที่ใช้อธิบายสมบัติทางเคมีของอโลหะ

    ก. พลังงานไอออไนเซชันสูง ขนาดอะตอมใหญ่ สัมพรรคภาพอิเล็กตรอนน้อย

    ข. พลังงานไอออไนเซชันต่ำ ขนาดอะตอมใหญ่ อิเล็กโทรเนกาติวิตีต่ำ

    ค. พลังงานไอออไนเซชันสูง ขนาดอะตอมเล็ก สัมพรรคภาพอิเล็กตรอนน้อย

    ง. พลังงานไอออไนเซชันสูง ขนาดอะตอมเล็ก อิเล็กโทรเนกาติวิตีสูง

 

5. ธาตุ Z มีพลังงานไอออไนเซชันตั้งแต่ลำดับที่หนึ่งถึงลำดับที่ 8 เป็นดังนี้ 1.320, 3.395, 5.307, 7.476, 10.996, 13.333, 71.343, 84.086 ธาตุ Z มีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่าใด

 

    ก. 1                ข. 4                ค. 6                ง. 7

 

6. ตารางแสดงค่าพลังงานพันธะเฉลี่ยในสารไฮโดรคาร์บอน

ชนิดพันธะ

พลังงานพันธะ

C - H

413

C - C

348

การสลายพันธะโพรเพน (C3H8)  0.5 โมล จะต้องใช้พลังงานมากกว่าหรือน้อยกว่าการสลายพันธะอีเทน (C2H6)  0.5 โมล  เท่าไร

     ก. มากกว่า 587 kJ     ข. น้อยกว่า 283 kJ      ค. มากกว่า 526 kJ     ง. น้อยกว่า 278 kJ

 

7. เหตุใดสารโคเวเลนต์ จึงมีจุดเดือด จุดหลอมเหลวต่ำ

    ก. สารโคเวเลนต์มีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลน้อย       ข. สารโคเวเลนต์มักสลายตัวได้ง่าย

    ค. สารโคเวเลนต์ไม่มีประจุไฟฟ้า                                   ง. สารโคเวเลนต์มักมีโมเลกุลขนาดเล็ก

 

8. สารละลายที่เกิดจากธาตุหมู่ 1 กับน้ำ มีสมบัติอย่างไร

    ก. เป็นกลาง     ข. เป็นได้ทั้งกรดและเบส      ค. เป็นกรด       ง. เป็นเบส

 

9. สาร X เป็นโมเลกุลไม่มีขั้ว สาร Y เป็นโมเลกุลมีขั้ว ส่วนสาร Z เป็นพันธะไม่มีขั้ว ถ้าขนาดของโมเลกุลของ X>Y>Z แล้วสาร X Y และ Z ควรเป็นดังข้อใด

 

    ก. CH2 , NH3 , C6H6      ข. BeCl2 , CH2Cl2 , S8      ค. Br2 , H2O , H2      ง. SiH4 , PCl3 , PCl5

 

10. กำหนดค่า EN ของธาตุดังนี้ A = 3.0 , B = 2.8 X= 2.7 , Y = 3.7 จงเรียงลำดับความแรงขั้วจากมากไปน้อย

 

      ก. A-B , B-X , X-Y     ข. A-Y , B-X , A-X     ค. Y-B , A-Y , A-X     ง. A-X , B-Y , A-Y

 

11. ถ้า A , B และ C เป็นสารโคเวเลนต์ 3 ชนิด โดยทั้ง 3 ชนิดมีสถานะเป็นของเหลว โมเลกุลของสาร Aและ B มีขั้ว ส่วนโมเลกุลของสาร C ไม่มีขั้ว สารใดสามารถละลายน้ำได้

 

     ก. สาร C       ข. สาร A และ C      ค. สาร A เเละ B       ง. สาร B และ C

 

12. จงระบุว่าสารในข้อใดละลายน้ำได้

      1) แคลเซียมคลอไรด์                 2) แอมโมเนียมซัลเฟต      3 )เมอร์คิวรี(I)คลอไรด์

      4) ไ อร์ออน(III)ไฮดรอกไซด์       5) โพแทสเซียมฟอสเฟต

 

    ก. 1 2 3       ข. 1 2 5      ค. 2 3 4       ง. 2 3 5

 

13. ถ้า A, B ,C ,D เป็นธาตุที่มีเลขอะตอม 7,11,17 และ 20 ตามลำดับ สูตรของไอออนและสารประกอบไอออนิกในข้อใดถูกต้อง 

 

ข้อ

ไอออนบวก

ไอออนลบ

สูตรสารประกอบไอออนิก

ก 

D2+

A3-

D3A2

C3+

B2-

C2B3

B+

A-

BA

A+

C-

AC

14. X เป็นสารประกอบของธาตุ Ca และ F มีจุดหลอมเหลวสูง ไม่นำไฟฟ้าที่อุณหภูมิห้อง และละลายน้ำได้น้อยมาก ข้อสรุปใดต่อไปนี้ ไม่ สอดคล้องกับข้อมูลข้างต้น

      ก. พันธะในสาร X เป็นพันธะไอออนิก          

      ข. เมื่อ X ละลายน้ำ จะดูดความร้อน ทำให้ละลายได้น้อย

      ค. X มีสูตร CaF2 ผลึกมีความแข็งแรงมากจึงละลายได้ยาก 

      ง. สาร X เมื่อหลอมเหลวจะนำไฟฟ้า

 

15. เมื่อละลาย KCl ในน้ำเกิดปฏิกิริยาเป็นขั้น ๆ และมีการเปลี่ยนแปลงพลังงาน ดังนี้

1) KCl(s) -----> K+(g) + Cl-(aq)                H1 = 701.2 kJ/mol

2) K+(g) + Cl-(g) -------> K+(aq) + Cl-(aq)      H2 = 684.1 kJ/mol

ปฏิกิริยานี้เป็นแบบใด

 

    ก. คายพลังงานเท่ากับ 1385.3 kJ/mol           ข. คายพลังงานเท่ากับ 17.1 kJ/mol

    ค. ดูดพลังงานเท่ากับ 17.1 kJ/mol               ง. ดูดพลังงานเท่ากับ 1385.3 kJ/mol

 

16. สาร X , Y , Z มีพลังงานพันธะเป็น 120 , 200 , 90 kJ/mol ตามลำดับ จงเรียงความยาวพันธะจากน้อยไปมาก

 

      ก. X , Y , Z            ข. Z , Y , X                ค. Y , X , Z              ง. Z , X , Y

 

17. ข้อใดกล่าว ไม่ ถูกต้องเกี่ยวกับสมบัติของสารประกอบไอออนิก 

      ก.    นำไฟฟ้าได้ทุกสถานะ      ข.   เกิดจากการรวมตัวของไอออนบวกกับไอออนลบ 

      ค.   จัดเรียงตัวเป็นผลึก           ง.   มีผลรวมของประจุสุทธิ เป็น ศูนย์

 

 

18. พันธะเคมี หมายถึง อะไร  

      ก. แรงยึดเหนี่ยวระหว่างอะตอม          ข. พลังงานที่ทำให้อะตอมสลายตัว   

      ค. การอยู่รวมกันของอะตอม              ง. การอยู่รวมกันของโมเลกุล

 

19. กำหนดการจัดอิเล็กตรอนของธาตุให้ ดังนี้  A   2,8,2     B   2,8,8,1     C  2,8,7      D  2,8,18, 8   ธาตุคู่ใดมีการเกิดเป็นสารประกอบไอออนิกได้                                     

      ก.   A  กับ  D          ข.   C  กับ  D         ค.   B  กับ  C           ง.   B  กับ  D

20. เพราะเหตุใด อโลหะจึงยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะโคเวเลนต์

      ก. อโลหะมีค่า EN สูงเสียอิเล็กตรอนยาก          ข. อโลหะมีค่า EN สูงเสียอิเล็กตรอนง่าย

      ค. อโลหะมีค่า EN ต่ำเสียอิเล็กตรอนยาก          ง. อโลหะมีค่า EN ต่ำเสียอิเล็กตรอนง่าย

21. ธาตุที่เกิดพันธะไอออนิกกับออกซิเจนได้ดีที่สุด คือ ข้อใด

      ก. กำมะถัน       ข. คลอรีน        ค. ดีบุก         ง. โซเดียม

22. ข้อใดต่อไปนี้เป็นสูตรของสารประกอบ เมอร์คูริกซัลไฟด์

      ก. CuCl                          ข. KBr             ค. PbS                           ง. HgS

23. การเกิดสารประกอบ  NaF(s) ข้อใดคือสมการรวมของปฏิกิริยา

      ก. Na(g)  + 1/2F2(g)        ------>            NaF(s)

      ข. Na(s)   + 2F2(g)         ------->            NaF(s)

      ค. Na(g)   + 1/2F(s)        ------>              NaF(s)

      ง. Na(s)   + 1/2F2(g)      ------>              NaF(s)

24. การที่อะตอมพยายามปรับตัวเองให้อยู่ในสภาพเสถียรโดยทำให้อิเล็กตรอนวงนอกสุดเท่ากับ 8 เรียกกฎนี้ว่าอะไร

        ก. กฎออกซิเดชั่น           ข. กฎออกเตต           ค. กฎโคเวเลนต์              ง. กฎไอออนิก

  25. ข้อใด ไม่ เกี่ยวข้องกับพันธะเคมี

       ก. รับอิเล็กตรอนจากอะตอมอื่น            ข. ใช้อิเล็กตรอนร่วมกัน

       ค. แย่งอิเล็กตรอนกับอะตอมอื่น            ง. ให้อิเล็กตรอนกับอะตอมอื่น

 

26. ข้อใดกล่าว ไม่ ถูกต้องเกี่ยวกับสมบัติของสารประกอบไอออนิก

      ก. มีผลรวมของประจุสุทธิ เป็น ศูนย์        ข. เกิดจากการรวมตัวของไอออนบวกกับไอออนลบ

      ค.  จัดเรียงตัวเป็นผลึก                          ง. นำไฟฟ้าได้ทุกสถานะ

27.  การที่โลหะรวมกับอโลหะแล้วโลหะจะให้อิเล็กตรอนแก่อโลหะ  เกิดไอออนบวกและไอออนลบ ดึงดูดกัน  ด้วยแรงดึงดูดไฟฟ้าสถิต  สร้างพันธะไอออนิกขึ้นในสารประกอบนั้น  เพราะเหตุใด

    ก.  โลหะมีขนาดอะตอมเล็กกว่าอโลหะ

  ข.  อโลหะมีขนาดอะตอมใหญ่กว่าโลหะ

  ค.  โลหะมีค่า IE  ต่ำ  จึงให้อิเล็กตรอนได้ง่าย เพื่อปรับเวเลนซ์อิเล็กตรอนแบบก๊าซเฉื่อย

  ง.  โลหะมีค่า IE  สูง  จึงให้อิเล็กตรอนได้ง่าย เพื่อปรับเวเลนซ์อิเล็กตรอนแบบก๊าซเฉื่อย

 

28. กำหนดให้

1. NaNO3 + KCl     2. NH4Cl + Ca(OH)2       3.  K2SO4 + BaCl2       4.  AgNO3 + KCl

5. Na2SO4 + Pb(NO3)2      6.  Na2CO3 + CaCl2

การผสมสารละลายของสารประกอบไอออนิกคู่ใด ทำให้เกิดตะกอน

    ก.  1 3 4 5     ข.  3 4 5 6     ค.  2 3 4 5         ง.  1 4 5 6

29. สารโคเวเลนต์ชนิดหนึ่งมีสูตร AH3 และรูปร่างโมเลกุลเป็นสามเหลี่ยมแบนราบ อะตอม A ในสารนี้ไม่มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว ข้อใดที่น่าจะเป็นสมบัติของสาร AH3

  ก.โมเลกุลมีขั้ว ละลายน้ำ จุดเดือดต่ำ

  ข.เกิดพันธะไฮโดรเจน จุดเดือดสูง และละลายน้ำได้

  ค.โมเลกุลไม่มีขั้ว และมีแรงแวนเดอร์วาลส์ (ลอนดอน) เป็นแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล

  ง.โมเลกุลไม่มีขั้ว แต่เกิดพันธะไฮโดรเจนได้

30. ตารางข้างล่างนี้แสดงจุดหลอมเหว จุดเดือด และความสามารถในการนำไฟฟ้า เมื่อหลอมเหลวของสารประกอบคลอไรด์ A , B และC

สารประกอบคลอไรด์

จุดหลอมเหลว

จุดเดือด

การนำไฟฟ้า

A

883

1650

ดีมาก

B

1148

2750

ดี

C

548

1005

ไม่ดี

สิ่งที่สรุปได้จากข้อมูลคือ

   ก. A และ B เป็นสารประกอบไอออนิก                ข. A,B และ C เป็นสารประกอบไอออนิก

   ค. A เป็นสารประกอบไอออนิกเพียงสารเดียว      ง. B เป็นสารประกอบไอออนิกเพียงสารเดียว

 

31. สารใดมีรูปร่างโมเลกุล ไม่ เหมือนกัน

 

      ก.  HO2 และ SBr2     ข.  NOCl และ COS      ค. HCl และ CS2      ง.  CCl4และ POCl3

 

32. สารในข้อใด เป็นโมเลกุลมีขั้ว  แต่ ไม่มี พันธะไฮโดรเจน

 

     ก.  HF                     ข.  NH3                      ค. C2H5OH             ง.  SO2

 

กำหนด พลังงานพันธะ(kJ/mol)   C-C  = 348   C=C  = 614     C-H  =413    C-Cl  = 339    Cl-Cl  = 242

  C=O    = 745   C-O  = 358    O-H   = 463       O=O   = 498 

 

33. ถ้าไซโคลเฮกซีน(C6H10) เกิดปฏิกิริยาการรวมตัวกับคลอรีนจะมีการเปลี่ยนแปลงพลังงานกี่กิโลจูลต่อโมล

 

      ก. 170                          ข. 340                            ค. 412                ง. 242

34. ในการเผาไหม้โพรทานอล ( C3H7OH ) 1 โมล ได้ผลิตภัณฑ์เป็น แก๊ส CO2  และ H2O (ไอน้ำ) จะดูดหรือคายพลังงาน กี่กิโลจูลต่อโมล

 

     ก. ดูดพลังงาน 1.52 kJ                                  ข.  คายพลังงาน 1,525 kJ

     ค.  ดูดพลังงาน 1,883 kJ                               ง.  คายพลังงาน 1,883 kJ

 

35. กำหนดให้ ธาตุ A มีพลังงานไอออไนเซชันตั้งแต่ ลำดับที่ 1 ถึง 8 ดังนี้   1.320,3.395, 5.307, 7.476, 10.996, 13.333, 71.343 และ 84.086

ธาตุ B มีพลังงานไอออไนเซชัน ตั้งแต่ลำดับที่ 1 ถึง 4 ดังนี้  800,  2400,  3700 และ 25000

   จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้

1. สูตรทั่วไปของสารประกอบ AB  คือ A2B3

2. สารประกอบ AB เมื่อละลายในน้ำแล้วเปลี่ยนกระดาษลิตมัสจากแดงเป็นน้ำเงิน      แต่ไม่เปลี่ยนกระดาษลิตมัสจากน้ำเงินเป็นแดง

3. สารประกอบ AB มีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวสูง

4. สารประกอบ AB ยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะโคเวเลนต์และมีลักษณะเป็นของเหลว

ข้อใดถูก  

  ก. 1,4                     ข. 2,3  ค.                  ค. เฉพาะ 3                ง. เฉพาะ 4

36. ข้อมูลแสดงค่าพลังงานที่เกี่ยวข้องกับการละลายสาร A, B, และ C เป็นดังนี้

สาร

พลังงานไฮเดรชัน

พลังงานแลตทิซ

A

745

750

B

590

550

C

690

700

ถ้าใช้สาร A, B และ C  จำนวนโมลเท่ากัน  ละลายในน้ำที่มีปริมาตร 100 cm3  การเปรียบเทียบอุณหภูมิของแต่ละสารละลาย ข้อใดถูก

            ก. A > B > C             ข. B > A > C             ค. B > C > A             ง. C > A > B

 

37. กำหนดให้  พลังงานแลตทิชของ NaCl   = 787 kJ/mol      พลังงานไอออไนเซชั่นของ Na(g) =  494 kJ/mol

          พลังงานของ Cl2(g)  =  242  kJ/mol           พลังงานสัมพรรคภาพอิเล็กตรอนของ Cl(g) =  347 kJ/mol

          พลังงานการระเหิดของ Na(s)  = 109  kJ/mol

ปฏิกิริยา  Na(s) + 1/2Cl2    ------>   NaCl(s)    ที่ 25 C   คายพลังงานความร้อนจำนวนเท่าใด

 

         ก. 410 kJ               ข.  531 kJ                   ค. 724 kJ                ง.  1134 kJ

 

38. 38Sr ทำปฎิกิริยากับ 16S สารประกอบที่ได้ควรมีสูตรอย่างไร     

 

          ก. SrS3                   ข. Sr2S3                  ค. SrS                   ง. Sr3S3

39. สูตรโครงสร้างลิวอิสตามกฏออกเตตของโมเลกุลและไอออนต่อไปนี้ ข้อใดไม่มีขั้ว

 

          ก.  OF2                   ข.  FNO                   ค. CO                   ง.  OCS

40. อะตอมของธาตุใดที่อยู่ในสภาพที่เสถียร

 

      ก. ฮีเลียม                     ข. ไนโตรเจน              ค. ไฮโดรเจน            ง. อาร์ซินิก

 

41. ข้อความใดต่อไปนี้ ไม่ ถูกต้อง

      ก. พันธะโคเวเลนต์เป็นพันธะที่เกิดจากการใช้อิเล็กตรอนเป็นคู่ๆ

      ข. พันธะไอออนิกเป็นแรงดึงดูดระหว่างไอออนที่มีประจุต่างกัน

      ค. พันธะโลหะเป็นพันธะที่เกิดจากแรงดึงดูดระหว่างอะตอมของโลหะกับอิเล็กตรอนทั้งหมดที่มีอยู่ในโลหะ

      ง. พันธะไอออนิก ทำให้สารไอออนิกไม่มีสูตรโมเลกุลและมีจุดหลอมเหลวสูง

 

42. อะตอมที่ให้หรือรับอิเล็คตรอน จะเกิดเป็นพันธะใด

      ก. พันธะเคมี         ข. พันธะไอออนิก         ค. พันธะโคเวเลนต์        ง. พันธะโลหะ

43. ประเภทของพันธะหรือแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคในสารต่อไปนี้ เหล็ก, น้ำตาลกลูโคส, เกลือแกง ข้อใดต่อไปนี้ เป็นการเรียงลำดับอย่างถูกต้อง

 

 

 

      ก. พันธะโลหะ , พันธะโคเวเลนต์, แรงลอนดอน        ข. แรงลอนดอน, พันธะไอออนิก, พันธะโคเวเลนต์

      ค. พันธะไอออนิก, พันธะโคเวเลนต์, พันธะโลหะ       ง. พันธะโลหะ, แรงลอนดอน, พันธะไอออนิก

44. ข้อใดต่อไปนี้ผิด

       ก. สารประกอบไอออนิกมักเกิดระหว่างธาตุที่มีพลังงานไอออไนเชชันต่ำกับธาตุที่มีค่าENสูง

       ข. เมื่อหลอมเหลวสารประกอบไอออนิกจะเป็นปฏิกิริยาดูดความร้อน

       ค. การเกิดสารประกอบไอออนิกเป็นปฏิกิริยาดูดความร้อน

       ง. สารประกอบไอออนิกยึดเหนี่ยวกันด้วยแรงทางไฟฟ้า

45. ข้อใด ไม่ใช่ แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล

 

      ก. แรงแวนเดอร์วาลส์         ข. แรงดึงดูดระหว่างขั้ว      ค. พันธะไฮโดรเจน        ง. พันธะโคเวเลนต์

46. พิสูจน์ใดที่เเสดงว่าผลึกโซเดียมคลอไรด์เป็นสารประกอบไอออนิก

 

อนิก      ก. ผลึกโซเดียมคลอไรด์ละลายน้ำ สารละลายที่ได้จะมีจุดเยือกเเข็งลดลง

      ข. โซเดียมคลอไรด์ที่หลอมเหลวนำไฟฟ้าได้

      ค. โซเดียมคลอไรด์ละลายน้ำเเล้วคายพลังงาน

      ง. โซเดียมคลอไรด์ละลายน้ำนำไฟฟ้าได้

47. รูปร่างโมเลกุลของสารในข้อใดเป็นรูปสามเหลี่ยมแบนราบ

      ก. NH4+ และ SiH4        ข. SO3 และ BF3        ค. CH3Cl และ O3         ง. PH3 และ CH2O

48. ธาตุ A และ B มีเลขอะตอม 15 และ 35 ตามลำดับ คลอไรด์ของ A และ B ควรมีรูปร่างอย่างไร   ตามลำดับ

 

      ก.   สามเหลี่ยมแบนราบ และพีระมิดฐานสามเหลี่ยม     ข.   พีระมิดฐานสามเหลี่ยม และเส้นตรง

      ค.   ทรงสี่หน้า และสามเหลี่ยมแบนราบ                      ง.   พีระมิดคู่ฐานสามเหลี่ยม และเส้นตรง

 

49. มุมระหว่างพันธะในโมเลกุลโคเวเลนต์เรียงตามลำดับจากมากไปน้อยดังข้อใด

           

      ก. CS2 > BF3 > CH4 > Cl2O           ข. Cl2O > CS2 > BF3 > CH4

      ค. BF3 > CS2 > Cl2O > CH4            ง. CS2 > Cl2O > BF3 > CH4

 

50. ข้อใดเป็นโมเลกุล ไม่มีขั้ว

      ก. CO2, CCl4 และ CH3Cl              ข. CO2, SF6 และ BCl3

      ค. BCl3, NCl3 และ CCl4                ง. HCN, NCl3 และ CO2


ที่มา คลิกที่นี่


ประวัติและความเป็นมาของเคมี

  ประวัติและความเป็นมาของเคมี เคมี  ( อังกฤษ : chemistry) เป็นวิทยาศาสตร์สาขาหนึ่งที่ศึกษาในเรื่องของ สสาร   โดยไม่เพียงแต่ศึกษาเฉพาะในเรื...